เปิดคาเฟ่ ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง
สำหรับธุรกิจคาเฟ่ในประเทศไทย การบริหารจัดการภาษีมีความสำคัญมากเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและประหยัดภาษีได้สูงสุด ต่อไปนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับภาษีของคาเฟ่:
1. ประเภทของรายได้และภาษีที่เกี่ยวข้อง
• ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91): หากเจ้าของคาเฟ่เป็นบุคคลธรรมดา รายได้จากการประกอบกิจการคาเฟ่จะต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้จะถูกนำไปรวมกับรายได้อื่น ๆ ที่เจ้าของมี
• ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50): หากคาเฟ่จดทะเบียนในรูปแบบบริษัท รายได้จากคาเฟ่จะต้องเสียภาษีในรูปแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยจะเสียภาษีจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
• หากคาเฟ่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเก็บภาษีจากลูกค้าในอัตรา 7% ของราคาสินค้าและบริการ
• หากคาเฟ่ยังไม่ถึงรายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปี ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ก็ไม่สามารถเรียกเก็บ VAT จากลูกค้าได้
3. การหักค่าใช้จ่าย
• คาเฟ่สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้สองแบบ คือ แบบเหมาจ่าย (หักได้ 60% ของรายได้) หรือ หักตามค่าใช้จ่ายจริง โดยวิธีหลังต้องมีเอกสารและหลักฐานในการหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค
4. ภาษีป้าย
• หากคาเฟ่มีป้ายโฆษณาหน้าร้านหรือป้ายต่าง ๆ จะต้องเสีย ภาษีป้าย โดยป้ายที่มีชื่อบริษัทหรือสินค้าจะเสียภาษีในอัตราที่แตกต่างกันไปตามขนาดและประเภทของป้าย
5. ภาษีเงินเดือนพนักงาน (ภ.ง.ด. 1)
• คาเฟ่ที่มีพนักงานจะต้องหักภาษีเงินได้จากเงินเดือนพนักงาน และยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 1) ทุกเดือน รวมทั้งต้องยื่นประกันสังคมตามกฎหมาย
6. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด. 53)
• หากคาเฟ่มีการจ้างผู้รับเหมาหรือผู้ให้บริการ เช่น ช่างไฟฟ้าหรือผู้ดูแลระบบอินเทอร์เน็ต จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนด และนำส่งกรมสรรพากร
ธุรกิจคาเฟ่ควรจัดการระบบบัญชีให้เป็นระเบียบ และจัดเตรียมเอกสารการเงินและค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้อง เพื่อให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างราบรื่น